ไทยเบฟ โชว์วิสัยทัศน์ด้านธุรกิจ Vision 2025

  • ไทยเบฟ ตอกย้ำความเป็นผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจรที่ยั่งยืนระดับโลก 
  • บรรลุตามเป้าหมายวิสัยทัศน์ 2020 ครองตลาดอาเซียน
  • ครองอันดับหนึ่ง DJSI (World Index) 2 ปี ต่อเนื่อง
  • พร้อมโชว์วิสัยทัศน์ด้านธุรกิจ Vision 2025 ตอกย้ำความเป็นผู้นำในธุรกิจเครื่องดื่มและอาหารในอาเซียน เตรียมพร้อมการพัฒนาบุคลากร รับเทรนด์โลก ด้านเทคโนโลยี มองยาว 30 ปี

บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จัดแถลงข่าวผลการดำเนินงาน และทิศทางธุรกิจที่เติบโต มั่นคง ยั่งยืน พร้อมโชว์ศักยภาพความแข็งแกร่งด้านการลงทุน และขยายเครือข่ายทางธุรกิจเชื่อมโยงทุกมิติ ตอกย้ำผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจรอันดับหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน และการก้าวสู่ผู้นำระดับโลก ที่นำโดยแม่ทัพใหญ่         คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเบียร์ พร้อมด้วย คุณประภากร ทองเทพไพโรจน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด

                      กลุ่มธุรกิจสุรา และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มบริหารช่องทางการจำหน่าย คุณโฆษิต  สุขสิงห์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง และผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเบียร์ประเทศไทย คุณเอ็ดมอนด์ เนียว รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มบริหารการลงทุนตราสินค้า คุณเบนเน็ตต์ เนียว กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทไซ่ง่อนเบียร์-แอลกอฮอล์-เบฟเวอเรจ คอร์ปอเรชั่น (ซาเบโก้) คุณลี เม็ง ตัท  ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และกรรมการผู้อำนวยการ ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอลเฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ, ลิมิเต็ด (เอฟแอนด์เอ็น) คุณเลสเตอร์ ตัน ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮออล์ ประเทศไทย คุณนงนุช บูรณะเศรษฐกุล  ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหารประเทศไทย และ ดร. เอกพล ณ สงขลา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มทรัพยากรบุคคล ณ โรงแรม            แบงค็อก แมริออท มาคีส์ ควีนส์ปาร์ค (สุขุมวิท 22) เมื่อบ่ายวันนี้ ( 3 ตุลาคม 2562)

คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และผู้บริหารสูงสุดกลุ่มธุรกิจเบียร์ กล่าวว่า “ความภาคภูมิใจของกลุ่มไทยเบฟในปีนี้ ถือเป็นความภาคภูมิใจในระดับโลก ที่นำมาสู่ภูมิภาคอาเซียน ที่ไทยเบฟได้รับคัดเลือกให้เป็นอันดับที่ 1 ของโลก ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม และ Industry leader ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และได้เป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนี DJSI World ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และกลุ่มดัชนี DJSI Emerging Markets หรือกลุ่มตลาดเกิดใหม่ เป็นปีที่ 4 โดยไทยเบฟเป็นเพียงบริษัทเดียวในประเภท
อุตสาหกรรมเครื่องดื่มของอาเซียนที่ได้รับการคัดเลือก  สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาความยั่งยืนขององค์กร อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการขับเคลื่อนองค์กรภายใต้วิสัยทัศน์ 2020 ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต ที่ถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของไทยเบฟ

ปีนี้ถือเป็นปีที่เข้าสู่ปีสุดท้ายของวิสัยทัศน์ 2020 ที่เราได้ประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งเป็นแผนธุรกิจ ระยะ 3 ปี 2 แผนติดต่อกัน ซึ่งเราได้บรรลุเป้าของแผนที่หนึ่งไปแล้วตั้งแต่ปี 2017 ขณะนี้เรากำลังขับเคลื่อนและผลักดันเข้าสู่เป้าหมายที่เราตั้งความฝันไว้ที่เราจะเข้าสู่การเข้าไปยืนอยู่ได้อย่างสง่างามในฐานะ Stable and Sustainable Asean Leader เป็นบริษัทไทยที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืนอยู่ในภูมิภาคอาเซียน โดยผลประกอบการ 9 เดือน ของปี 2019 ถึงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี้ ยอดขายรวมอยู่ที่ 205,277 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 18.2% EBITDA เพิ่มขึ้น 21.0% เป็น 36,265 ล้านบาท และ Net profit อยู่ที่ 21,894 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.1% 

จากวิสัยทัศน์ 2020 เราได้กำหนดเรื่องสำคัญไว้ 5 เรื่อง โดยในช่วง 3 ปีแรก เราเน้นเรื่องของ Growth การเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ และ Diversity ความหลากหลายของสินค้าและตลาด ซึ่งเราได้เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง และมีการขยายส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศไทย ขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดสำคัญ เช่น เวียดนาม และเมียนมาร์ และช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เราได้เน้นในเรื่อง Brand และ Reach ซึ่งก็คือ ฝ่ายการตลาด (Marketing) และการขาย (Sale) ให้ทำงานควบคู่กันไปอย่างใกล้ชิด เพิ่มความเข้าใจผู้บริโภค และการเข้าถึงลูกค้าของเรา ทำให้เราสามารถผลักดันผลประกอบการได้อย่างต่อเนื่อง และอีกเรื่องสำคัญคือ Professionalism ความเป็นมืออาชีพด้วยการพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากร เป็นเรื่องที่ไทยเบฟให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก พนักงานของเราที่มีมากกว่า 60,000 คน เราพยายามที่จะให้โอกาส และให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีการค้นหาให้มีคนที่มีศักยภาพให้เติบโตควบคู่ไปกับธุรกิจของเราแบบไร้ขีดจำกัด และเรายังได้ผลักดันให้มีระบบการสร้างคน ทำ IDP Individual Development Program เป็นรายบุคคล และจัดให้มี Talent Management and Succession Plan programs  เป็นสิ่งที่ช่วยให้คนของเราได้โอกาสในการพัฒนาหน้าที่การงาน ยิ่งธุรกิจของเราเติบโตไปเท่าไหร่โอกาสก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น โดยความเชื่อของเรา และหน้าที่ของผมซึ่งเป็น CEO ก็คือการสร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต ให้กับพนักงาน ผู้บริหารของเรา จนถึงคู่ค้าและพันธมิตรทุกภาคส่วน

โดยสรุปภาพรวมในวิสัยทัศน์ 2020 ถือว่าสามารถขับเคลื่อนและประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ                 ซึ่งทำให้เรามีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ส่งต่อให้เราสามารถพัฒนาแผนธุรกิจของเรา ให้เป็น Business plan ที่มองไปไกลถึง 2025 ซึ่งจะเป็นแผน 3 ปี อีก 2 แผนของเรา เริ่มนับที่ 2020 – 2022 เป็นแผน 3 ปีแรก และ 2022-2025เป็นแผน 3 ปี ที่สอง จะเห็นความเชื่อมโยงก้าวข้ามระหว่างปี 2020 ไปยัง 2025 ซึ่งในปี 2020 นี้เราจะทำ พร้อมกันคือการปิด Budget Plan ของแผน 2020 พร้อมกับสร้างพื้นฐานที่มั่นคงให้เราก้าวไปสู่ผลสำเร็จที่เราวางไว้ในปี 2025 แต่การที่เราจะไปถึง 2025 ได้นั้น มีเรื่องสำคัญอยู่ 2 เรื่อง คือเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางด้านดิจิตอล            ซึ่งวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มีสิ่งใหม่ๆ ที่ให้โอกาสทางธุรกิจของเรา และสามารถพัฒนาทั้งผลิตภัณฑ์ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานของเราในเรื่องที่จะเข้าสู่โลกของ Digital Age จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะโลกเปลี่ยนไป แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะว่าคนของเราต้องมีความพร้อม จึงเป็นเหตุผลที่เราต้องวางแผนด้านไอทีของเราไปถึง ปี 2030 และกำหนดแผนพัฒนาคนไปถึงปี 2050 เพราะคนที่จะเป็นผู้บริหารในปี 2050 นับไปจากปีนี้ 30 ปี ก็คือคนที่เข้ามาทำงานในไทยเบฟ อายุ 20 ปี ที่ในปี 2050 เขาก็จะอายุ 50 ปี เราจึงจำเป็นต้องเฟ้นหาคนที่เหมาะสมกับสิ่งที่เราจะทำ นอกจากนั้นก็ยังมีคน 60,000 คน ที่อยู่กับเราที่จะต้องเตรียมรองรับกับเทคโนโลยีที่จะเข้ามาในระบบงานของเรา จะมีคนบางส่วนที่ต้องส่งเสริมเรื่องทักษะ และศักยภาพ Upskill บางส่วนต้อง Reskill เพราะงานที่เขาทำอยู่ เช่นขับรถ Forklift ในโกดังของเรา วันข้างหน้ารถ Forklift อาจกลายเป็น  Self-driving ทำให้พนักงาน ซึ่งอยู่กับเรามานานไม่สามารถทำหน้าที่ได้ จึงต้องพัฒนาทักษะด้านอื่นให้เขายังสามารถสร้างประโยชน์ให้กับองค์กรได้ ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องมองให้ไกลไปถึงปี 2030, 2040 และ 2050 คือการเตรียมคนให้พร้อม การมองทั้งโอกาสในด้านการตลาด และการเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานให้สอดคล้องกับโลกที่จะเปลี่ยนไป ซึ่งการมองแบบนี้เรามองไปในตลาดที่อยู่ในปัจจุบันไม่น่าจะเพียงพอ เมื่อเรามีโอกาส และประสิทธิภาพ เราจึงไม่ได้มองเพียงเรื่องของอาเซียน ซึ่งจะมีประชากรสูง 700 ล้านคน ภายในปี 2025 รวมถึงนักท่องเที่ยวอีกกว่า 120 ล้านคน เหมือนใน Vision 2020 แต่ในปี 2025 ผมมองไปถึงอาเซียน+6 ซึ่งมีประชากรรวมกันกว่าครึ่งโลก มีประเทศที่มีอัตราการโตของเศรษฐกิจสูง เช่น เมียนมาร์ 7.4 % กัมพูชา 7.2 % ลาว 7.1 % และเวียดนาม 6.2% กลุ่มประเทศที่เป็นที่จับตามองในปัจจุบันคือ MTV (เมียนมาร์ ไทย และเวียดนาม) นอกจากนี้ เรามองไปข้างหน้าเห็นโอกาสที่น่าตื่นเต้น ผมเห็นว่าเรายังมีโอกาสจากการเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจของโลกผ่านโครงการสำคัญ เช่น Belt Road Initiative ของประเทศจีน”

คุณประภากร ทองเทพไพโรจน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่, ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจสุรา และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มบริหารช่องทางการจำหน่าย เผยว่า  “กลุ่มธุรกิจสุรา ในช่วงปีงบประมาณที่ผ่านมาได้มีการพัฒนาผลิตภัณท์อย่างต่อเนื่อง สำหรับธุรกิจในประเทศไทย เราได้เพิ่มความเป็นเอกลักษณ์ให้ผลิตภัณฑ์สุราขาวรวงข้าวในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยเปลี่ยนมาใช้ขวดใหม่ที่มีการพิมพ์นูนคำว่า “รวงข้าว” ลงไปบนขวด เพื่อสร้างความเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเพิ่มขึ้น ในส่วนของสุราสีหงส์ทอง เราจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ขนาดใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค สุราหงส์ทองขนาด 1 ลิตรในเดือนนี้ นอกจากนี้ เรายังได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มตราสินค้า Kulov ในช่วงต้นปีงบประมาณที่ผ่านมา ได้แก่ KULOV Red Blast RTD และ KULOV Vodka ขนาด 700 ml และในปีงบประมาณหน้า เราจะเปิดตัวสินค้าใหม่สู่ตลาด ได้แก่ KULOV Lemon Pop RTD และ KULOV Vodka ขนาด 1 ลิตร ในส่วนตลาดเมียนมาร์ เรามีความภาคภูมิใจที่ Grand Royal มียอดขายทะลุ 10 ล้านลัง ในปีล่าสุด อันเป็นความสำเร็จจากการที่บริษัทมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการกระจายสินค้าอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกันสำหรับตลาดสุราพรีเมี่ยมจากสกอตแลนด์ บริษัท Inver House ได้ทำการปรับโฉมสุราซิงเกิ้ลมอลต์ Balblair ให้มีความทันสมัยและพรีเมี่ยมยิ่งขึ้นด้วย”

คุณโฆษิต สุขสิงห์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเบียร์ ประเทศ ไทย และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง เผยว่า “ก้าวที่ยิ่งใหญ่และมั่นคงของไทยเบฟฯ สู่ปี 2020 สู่การเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทยและอาเซียนดูจะไม่ไกล เมื่อตัวเลขภาพรวมตลาดเบียร์ในประเทศไทยปี 2019 เติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องกับการทำกิจกรรมการตลาดบนแพลตฟอร์มที่หลากหลายตรงกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค อีกทั้งผลสำรวจล่าสุดจาก IPSOS ยังพบว่า เบียร์ช้าง เป็นแบรนด์เบียร์อันดับ 1 ของประเทศไทย ที่ผู้บริโภคจะเลือกดื่ม (FIRST BEER BRAND CONSIDERATION AMONGST CONSUMERS IN THAILAND) ล่าสุด “เครื่องดื่มตราช้าง” ยังได้สร้างกระแส ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ เขย่าวงการลูกหนังไทย ทุ่มงบกว่า 1,100 ล้านบาท สนับสนุนสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยยาวนาน 10 ปี (ตั้งแต่ปี 2559 จนถึง ปี 2568) ปลุกกระแสช้างศึก #เล่นไม่เลิก ชวนคนไทยส่งใจเชียร์ทีมชาติไทยเข้าไปลุ้นบอลโลก พร้อมเตรียมเซอร์ไพรส์กับกิจกรรมเฉลิมฉลองช้างครบรอบ 25 ปี เปิดตัวเบียร์ “ช้าง 25 ปี โคลด์ บริว ลาเกอร์ (Chang 25th Anniversary Cold Brew Lager)” กับนวัตกรรมการกรองเบียร์โดยใช้อุณหภูมิที่ต่ำกว่า 0 องศา (Sub-Zero Filtration) ซึ่งเป็นเทคนิคพิเศษที่ดึงรสชาติและกลิ่นของมอลต์ออกมาได้อย่างเต็มที่ ที่จะมาสร้างความคึกคักให้ตลาดเบียร์ไทย และจะยังคงเดินหน้าลุยธุรกิจเบียร์และสานต่อกิจกรรมการตลาดและกิจกรรมด้านอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง  เพื่อสร้างประสบการณ์รูปแบบใหม่ๆ ให้แก่ผู้บริโภค”

นอกจากนี้ ผมยังมีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องของ Sustainability ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ปีนี้          ไทยเบฟ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นผู้นำ อันดับ 1 อุตสาหกรรมเครื่องดื่มของโลก  (Industry Leader) ซึ่งหมายถึงการเป็นบริษัทที่มีการพัฒนาความยั่งยืนในมาตรฐานสากลในระดับโลก ที่จัดทำโดย S&P Dow Jones  ให้เป็นสมาชิกใน DJSI ประจำปี 2562 โดยได้รับการยอมรับในการเป็นผู้นำสูงสุดต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ในกลุ่มดัชนีความยั่งยืน DJSI World Market  และได้เป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนี DJSI World ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และกลุ่มดัชนี DJSI Emerging Markets หรือกลุ่มตลาดเกิดใหม่ เป็นปีที่ 4 ทั้งหมดนี้ภาคอุตสาหกรรมในระดับโลกมีเพียง 60 บริษัทเท่านั้นที่ได้รับการคัดเลือก ซึ่งไทยเบฟสามารถทำคะแนนรวมสูงสุดได้ 92 คะแนนสูงสุด จาก 61 ประเภทอุตสาหกรรมทั่วโลก ซึ่งไทยเบฟทำคะแนนได้ดีเหนือคู่แข่งใน 15 ด้าน คือ Brand Management, Customer Relationship Management, Health & Nutrition, Innovation Management , Materiality, Policy Influence, Supply Chain Management, Tax Strategy, Climate Strategy, Environmental Reporting, Genetically Modified Organisms, Packaging, Corporate Citizenship and Philanthropy, Human Rights และ Social Reporting   นอกจากนี้ ยังสามารถทำคะแนนเต็ม 100 คะแนนใน 12 หัวข้อ ซึ่งเป็นจำนวนเท่ากับปีก่อน ได้แก่ Brand Management, Health & Nutrition, Innovation Management, Materiality, Policy Influence, Environmental Reporting, Packaging, Corporate Citizenship and Philanthropy, Social Reporting, Tax Strategy, Genetically Modified Organisms และ Climate Strategy ทั้งนี้ใน 3 หัวข้อหลัง ไทยเบฟสามารถทำคะแนนประเมินได้เต็ม 100 เป็นครั้งแรก  ผลการประเมินในครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของไทยเบฟ ที่สะท้อนให้เห็นว่าเรามีความมุ่งมั่นที่จะลงมือทำอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง และสามารถวัดผลสำเร็จได้จริง พร้อมมุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่ใส่ใจด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับโลกอย่างแท้จริง”

คุณเอ็ดมอนด์ เนียว  รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่, ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มบริหารการลงทุนตราสินค้า เผยว่า “การริเริ่มผลิตเบียร์ช้างในโรงเบียร์ Emerald Brewery ในสหภาพเมียนมาร์ เสริมสร้างจุดยืนที่แข็งแกร่งให้กับไทยเบฟฯ ในภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทยเบฟฯ มีความยินดีที่ได้ร่วมกับ บริษัท เฟรเซอร์ และนีฟ จำกัด (“ F&N”) ในการสร้างโรงงานเพื่อผลิตเบียร์ช้างในประเทศเมียนมาร์ การเริ่มต้น  ในการดำเนินการภายใต้ Emerald Brewery ของ F&N เกิดขึ้นที่เขตชุมชนเลกู เมืองย่างกุ้ง เมืองที่ใหญ่ที่สุดของสหภาพเมียร์มาร์ เป็นการขยายการดำเนินงานของกลุ่มไทยเบฟในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเสริมสร้างจุดยืนที่แข็งแกร่งให้กับไทยเบฟฯ ในฐานะผู้ผลิตเครื่องดื่มชั้นนำในภูมิภาค นำโดยทีมงานที่มีประสบการณ์ในธุรกิจเบียร์มานานหลายปี และเพียบพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งทำให้ Emerald Brewery สามารถผลิตเบียร์ช้างที่มีคุณภาพสูง ได้อย่างยั่งยืน โดย Emerald Brewery มีกำลังการผลิตปีละประมาณ 50 ล้านลิตร มีการบรรจุเบียร์ในบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับรางวัลระดับโลกเพื่อจัดจำหน่ายทั่วประเทศใน 5 รูปแบบ คือ แบบขวดปริมาณ 320 มล. และ 620 มล. ,แบบกระป๋อง 330 มล. และ 500 มล. รวมทั้งแบบถังปริมาณ 30 ลิตร”

คุณเบนเนตต์ เนียว กรรมการผู้อำนวยการ ซาเบโก้ เบียร์ เบฟเวอเรจ คอเปอเรชั่น เผยว่า “Sabeco ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทระดับสากลที่ดำเนินงานอย่างมืออาชีพ ทั้งนี้ Sabeco อยู่ในระหว่างการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรให้เป็นบริษัทที่รวมข้อมูลเชิงลึกของท้องถิ่น มีความภาคภูมิใจในบริษัท และเคารพในวัฒนธรรมเวียดนาม และเปิดรับแนวทางปฏิบัติและนวัตกรรมสากล ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ จะสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับฐานธุรกิจในเวียดนาม และเมื่อมีพร้อมแล้วก็จะสามารถขยายสถานะของเราสู่ตลาดโลก ทั้งนี้ฝ่ายบริหารได้ให้ความสำคัญกับ 7 Pillars ของ Sabeco:

  • การขาย: ระบบผลตอบแทนตัวแทนจำหน่าย และความสามารถ ศักยภาพในด้านการขาย
  • การลงทุนในตราสินค้า: New brand positioning การเปลี่ยนแปลงบรรจุภัณฑ์ นวัตกรรมผลิตภัณฑ์
  • การผลิต: ก่อสร้างโรงเบียร์แห่งที่ 26 เสร็จสิ้น มีแผนการขยายโรงเบียร์
  • Supply chain: การดำเนินงานและบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ มีการนำเทคโนโลยีเข้ามา 
  • ต้นทุน: การลดต้นทุนของวัตถุดิบและค่าใช้จ่ายในการบริหาร
  • WARM Employee: โครงสร้างเงินเดือนใหม่ซึ่งพิจารณาตามผลงาน วัฒนธรรมใหม่บนพื้นฐานของ Global Value ของ ThaiBev

(WARM: Willing, Able, Ready, Motivated) 

  • คณะกรรมการบริหาร: การมอบอำนาจ; กลยุทธ์ระยะยาว

7 Pillars ให้เกิดผลผ่าน SABECO 4.0

2019 Highlight:  การเปลี่ยนแปลงบรรจุภัณฑ์ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2562 

การเปลี่ยนแปลงบรรจุภัณฑ์เป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์เพื่อฟื้นคืนภาพลักษณ์ให้ดูใหม่แก่ Bia Saigon เป็น Rising Spirit ของ Young Progressive Vietnam มีการใช้มังกรซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเวียดนามที่กำลังเติบโตได้ถูกนำมาใช้อย่างเด่นชัดและสม่ำเสมอ โดย Bia Saigon จะกลายเป็นแบรนด์หลัก”

คุณลี เม็ง ตัท กรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และ คุณเลสเตอร์ ตัน ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอลล์ ประเทศไทย เผยว่า

“ธุรกิจ NAB ใน ประเทศไทยมีความความเติบโตโดยมีผลประกอบการดีขึ้น 42.6% จากปีต่อปี โดยเน้นที่ปัจจัยพื้นฐานมากขึ้น ในส่วนของการดำเนินธุรกิจภายใน เรามุ่งเน้นที่การขายสินค้า ด้วยมาร์จิ้นที่สูงขึ้นผ่านช่องทางที่มีกำไรที่มากขึ้น ในส่วนด้านระบบจัดการเรามองหาวิธีการประหยัดต้นทุนที่สูงขึ้นทั่วทั้งระบบ และในส่วนของภายนอกเราเน้นเรื่องการตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลง  ซึ่งจะเห็นได้จาก ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำตาลต่ำและไม่มีน้ำตาล ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยธุรกิจ NAB เดินหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้องและเรามั่นใจว่าเราจะช่วยส่งเสริมธุรกิจที่ประสบความสำเร็จของไทยเบฟ อย่างต่อเนื่อง”

คุณนงนุช บูรณะเศรษฐกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร ประเทศไทย เผยว่า “กลุ่มธุรกิจอาหารยังคงเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นให้กับไทยเบฟ  เพื่อมุ่งสู้เป้าหมาย “วิสัยทัศน์ 2020” โดยในปีงบประมาณที่ผ่านมา (YTD 9 เดือน : ต.ค 61 – มิ.ย. 62) ผลประกอบการเป็นไปตามเป้าหมาย มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งยอดขายและกำไร โดยปัจจัยที่ขับเคลื่อนให้ธุรกิจเติบโต ได้แก่

(1) การขยายสาขาอย่างต่อเนื่องเพื่อเข้าถึงลูกค้าได้มากที่สุด ซึ่งในปีนี้กลุ่มธุรกิจอาหารเปิดสาขาใหม่ไปทั้งสิ้น 59 สาขา (ต.ค 61 – ก.ย.62)

(2) การทำการตลาดและสร้างแบรนด์อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมอาหาร ที่สร้างความแปลกใหม่ ตื่นเต้นให้กับผู้บริโภค

(3) การให้ความคุ้มค่ากับผู้บริโภค โดยคำนึงถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการที่เรามอบให้ผู้บริโภคเป็นลำดับแรกๆ

(4) การให้บริการลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัล พร้อมรองรับการขยายตัวของตลาดเดลิเวอรี่กลุ่มธุรกิจอาหารที่ตอบสนองความต้องการด้านความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภคในยุคนี้

(5) การมุ่งเน้นพัฒนาด้านต่าง ๆ ภายในองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และผลลัพธ์ของงานให้ดียิ่งขึ้น”

ดร.เอกพล ณ สงขลา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มทรัพยากรบุคคล  เผยว่า “ กลุ่มไทยเบฟกำลังเดินทางสู่ช่วงปี 2020 ในฐานะบริษัทชั้นนำระดับอาเซียน ด้วยจำนวนพนักงานกว่า                    60,000 คน ซึ่งกว่าครึ่งเป็นพนักงานรุ่นใหม่หรือเจน Y กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จคือการเพิ่มพูนศักยภาพของพนักงานในยุคดิจิตัล ร่วมกันผสานพลังทั้งกลุ่มโดยเฉพาะการสร้างให้อาเซียนเป็นบ้านของเราอย่างแท้จริง ซึ่งในปีทีผ่านมาเราเชื่อมโยงประสบการณ์พนักงานในกลุ่มด้วยระบบ Beverest  ซึ่งเป็นระบบ Cloud system ทำการพัฒนาผู้มีศักยภาพของกลุ่มตั้งแต่ระดับคนรุ่นใหม่ไปถึงผู้บริหารระดับสูง ร่วมกันทั้งไทย สิงค์โปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และเมียนมา และนอกจากนี้ไทยเบฟ

Spread the love
fuckidols.com sexy blonde creampie pov.
i was reading this https://banglachotixxx.me/
error: Content is protected !!