“วันโรคอ้วนโลก” วิกฤตเงียบที่ถูกมองข้าม – แพทย์แนะปรับมุมมองใหม่ เฝ้าระวังตั้งแต่ระยะ “ก่อนเป็นโรคอ้วน”
วันที่ 4 มีนาคม 2568 “วันโรคอ้วนโลก” แพทย์ชวนตระหนักถึงปัญหาโรคอ้วน หนึ่งในวิกฤตสุขภาพในยุคปัจจุบันแต่ถูกมองข้าม ข้อมูลสมาพันธ์โรคอ้วนโลกเผยประชากรผู้ใหญ่ทั่วโลกกว่า 988 ล้านคน เผชิญปัญหาโรคอ้วน ชี้ไม่ใช่แค่ปัญหาสุขภาพส่วนบุคคล แต่ส่งผลกระทบต่อระบบสุขภาพและเศรษฐกิจของประเทศ นำไปการใช้งบประมาณสาธารณสุขรักษาโรคที่เกี่ยวข้องอย่างโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และมะเร็งมีมูลค่ามหาศาล แนะปรับมุมคิด “เฝ้าระวังภาวะก่อนเป็นโรคอ้วน” เปิด 5 พฤติกรรมก่อโรค คนที่ติดหน้าจออุปกรณ์มือถือตลอดเวลา ไม่ออกกำลังกาย รับประทานอาหารไม่ดี พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือนอนไม่หลับ มีความเครียด ย้ำอย่าดูเฉพาะค่า BMI เพียงอย่างเดียว แต่ควรประเมิน Body Fat หรือวัดอัตราส่วนของร่างกายร่วมด้วย
นายแพทย์ชเนษฎ์ ศรีสุโข โรงพยาบาลศรีสุโข จังหวัดพิจิตร และผู้ก่อตั้งมาลิคลินิกเวชกรรม สีลม กล่าวว่า “ข้อมูลจากสมาพันธ์โรคอ้วนโลกระบุว่า มีประชากรผู้ใหญ่ทั่วโลกกว่า 988 ล้านคนกำลังมีปัญหาโรคอ้วน ส่วนในประเทศไทย ข้อมูลผลสำรวจสุขภาพคนไทยโดยการตรวจร่างกายล่าสุด (ปี 2562-2563) โดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขพบว่า ผู้หญิงไทยร้อยละ 46.4 และผู้ชายไทยร้อยละ 37.8 มีภาวะอ้วนหรือมีค่า BMI ตั้งแต่ 25 ขึ้นไป ในขณะที่ผู้ชายไทยร้อยละ 27.7 และร้อยละ 50.4 ในหญิงไทยมีภาวะอ้วนลงพุง หรือมีรอบเอวตั้งแต่ 32 นิ้ว (80 เซนติเมตร) ขึ้นไปสำหรับผู้หญิง และตั้งแต่ 36 นิ้ว (90 เซนติเมตร) ขึ้นไปสำหรับผู้ชาย นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้หญิงในกรุงเทพมหานครมีความชุกภาวะอ้วนลงพุงสูงสุด
โรคอ้วนไม่เพียงแต่เป็นปัญหาสุขภาพส่วนบุคคล แต่ยังเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อระบบสุขภาพและเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ อย่างมาก นำมาซึ่งค่าใช้จ่ายในระบบสาธารณสุข ในการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องอย่างโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และมะเร็งมีมูลค่ามหาศาล
โรคอ้วนเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องการการรักษาเช่นเดียวกับโรคเรื้อรังอื่น ๆ แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ คนที่เป็นโรคอ้วนยังถูกวินิจฉัยและได้รับการรักษาไม่เพียงพอ เพราะจากสถิติจากวิจัยในสหรัฐฯ พบว่า จากจำนวนคนที่เผชิญกับโรคอ้วนทั้งหมดนั้น มีประมาณร้อยละ 40 ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอ้วน และมีไม่ถึงร้อยละ 20 ที่ได้รับการรักษาโรคอ้วนด้วยวิธีที่มีข้อมูลศึกษาชัดเจน และมีเพียงร้อยละ 1.3 เท่านั้นที่ได้รับยาที่มีข้อบ่งใช้ในการรักษาโรคอ้วน”
แนวทางแก้ปัญหาโรคอ้วนในระยะยาว ประชาชนควรปรับเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับโรคนี้ เนื่องจากล่าสุดมีการกำหนดนิยามโรคอ้วน และประเภทของโรคอ้วนทางการแพทย์ใหม่ โดยเน้นความสำคัญของ ‘Preclinical Obesity’ หรือภาวะก่อนเป็นโรคอ้วน ซึ่งควรได้รับการรักษา เช่น คนที่มีภาวะเนื้อเยื่อไขมันมากเกินไป (Excess Adiposity) แต่อวัยวะต่าง ๆ ยังทำงานได้ปกติ
“แม้ค่า BMI จะอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่อาจเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในทางไม่ดี และอาจมีอาการของโรคแทรกซ้อน เช่น ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน เป็นต้น แนวโน้มการรักษาโรคอ้วนควรเริ่มตั้งแต่ระยะแรก แม้ค่า BMI ยังไม่เกินมาตรฐาน ซึ่งค่าที่เหมาะสมสำหรับผู้หญิงไทยเฉลี่ยคือ 24.4 และชาวไทยคือ 23.1” นายแพทย์ชเนษฎ์ กล่าว
การวินิจฉัยภาวะอ้วนรายบุคคลควรใช้เครื่องมือที่วัดสัดส่วนของไขมันในร่างกายเทียบกับน้ำหนักตัว (Body Fat) ที่ช่วยให้รู้รายละเอียดของมวลกล้ามเนื้อหรือมวลไขมันในร่างกายได้ดียิ่งขึ้น หรือหากไม่สามารถวัด Body Fat ได้ ก็อาจเลือกใช้วิธีวัดสัดส่วนของร่างกาย เช่น การวัดเส้นรอบเอว สำหรับผู้ชายถ้ามากกว่า 36 นิ้ว ถือว่าอ้วนลงพุง ส่วนผู้หญิงมากกว่า 32 นิ้ว นอกจากนี้ สามารถใช้การวัดเส้นรอบเอว (เมตร) หารด้วยเส้นรอบสะโพกที่ยาวที่สุด โดยผู้ชายถ้าเกิน 1.0 และผู้หญิงถ้าเกิน 0.8 ถือว่า อ้วนลงพุง
นายแพทย์ชเนษฎ์ กล่าวว่า นอกจากกังวลเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกที่เกิดจากภาวะอ้วนแล้ว คนเราควรต้องตระหนักถึงโรคอื่น ๆ ที่พ่วงมากับความอ้วนด้วย เพราะส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างมาก เพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาอีกมหาศาลสำหรับโรคเรื้อรัง
กลุ่มคนที่มีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จะมีพฤติกรรม 1.ไม่ออกกำลังกาย 2.รับประทานอาหารไม่ดี เช่น มีน้ำตาลสูงเกินไป และรับประทานผัก ผลไม้ที่มีไฟเนอร์น้อยเกินไป 3.พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือนอนไม่หลับ 4.คนที่ติดหน้าจออุปกรณ์มือถือตลอดเวลา 5.มีความเครียดและมีปัญหาโรคทางจิตใจ 6.กลุ่มคนที่ได้รับยาบางประเภท เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาคุมประเภทฮอร์โมนเดียวแบบโปรเจสเตอโรน, ยากันชัก, ยาเบาหวานและความดันบางชนิด และคนที่มียีนโรคอ้วน
“หากใครรู้ว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงดังกล่าว ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยง แต่หากเป็นปัจจัยทางพันธุกรรม หรือภาวะเจ็บป่วยอื่น ๆ ก็จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกวิธี” นายแพทย์ชเนษฎ์ กล่าวทิ้งท้าย