“สวิตต์ ไดมอนด์” ชูหน้ากากอนามัย KN95 แบรนด์ “TarMonud”
พร้อมส่งมอบ mask 3 ชั้น คุณภาพ KN95 ให้แก่ “มูลนิธิเมาไม่ขับ” 15,000 ชิ้น
เพื่อแจกจ่ายสู่เครือข่ายและประชาชน
เนื่องจากสถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ประชาชนต้องสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้มีหน้ากากอนามัยออกมาจำหน่ายจำนวนมาก มีทั้งผลิตในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ บริษัท สวิตต์ ไดมอนด์ จำกัด เจ้าของหน้ากากอนามัย KN95 แบรนด์ “TarMonud” (ตาโมนุต) ระบุว่า ตามท้องตลาดยังคงมีหน้ากากอนามัยที่ไม่ได้มาตรฐานอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งคนไทยควรต้องหันมาให้ความใส่ใจต่อการเลือกหาหน้ากากอนามัยที่ได้มาตรฐานมาใช้อย่างจริงจัง เพื่อให้การป้องกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมาตรฐาน KN95 คือ หนึ่งในหน้ากากอนามัยมาตรฐานระดับโลก
คุณภัคนภัสส์ จันทร์เพียร ประธานบริหาร คุณยวนใจ วาทยะกร กรรมการผู้จัดการ และนายสุเฑพ ศิลปงาม ประธานที่ปรึกษา บริษัท สวิตต์ไดมอนด์ จำกัด จึงได้จัดงาน “พิสูจน์ทราบ หน้ากากอนามัย และศิลปะบนหน้ากาก” โดยมีการชำแหละ ผ่าหน้ากากอนามัยให้เห็นกันแบบเต็มตา เพื่อพิสูจน์ทราบว่า….หน้ากากอนามัยที่มีมาตรฐานสากลนั้นมีลักษณะและคุณสมบัติอย่างไรในการป้องกันเชื้อโรค โดยมี นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ, สายเซียร์ ดาราเข้าบทบาท ที่โด่งดังจากสโลแกนที่ว่า “จน เครียด กินเหล้า”, เนติภูมิ มิ่งรุจิราลัย (ดีเจน๊อบ), ว่าที่ รต.ธนัท ชัชวาลย์ และ ปริศญา คูหามุข (แมงปอ AF) มาร่วมเป็นสักขีพยาน ณ วิเศษไก่ย่าง บางโพ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2563
พร้อมทั้งเปิดตัวหน้ากากอนามัย แบรนด์ “Tar-Mo-nud” (ตาโมนุต แปลว่า แสงสว่าง) ที่ได้มาตรฐาน เคเอ็น 95 (KN 95) ) ผ่านการรับรองมาตรฐาน GB2626-2006 โดยมี ปู พันหน้า ผู้แต่งเพลงและร้อง “ตาโมนุต” และสายเซียร์ ดาราเจ้าบทบาทร่วมเล่นติ๊กต๊อก และยังมีกิจกรรม การบันทึกศิลปะอันเป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมไทยลงบนหน้ากากอนามัย ด้วยสีที่ใช้ทำลงในภาชนะ เช่น จานอาหาร มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้ เพื่อความสวยงามอย่างมีศิลปะอีกด้วย ซึ่งอาจจะเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้
นอกจากนี้ บริษัท สวิตต์ไดมอนด์ จำกัด ยังได้มอบหน้ากากอนามัย “Tar-Mo-nud” (ตาโมนุต) ที่ได้มาตรฐาน เคเอ็น 95 (KN 95) ) ผ่านการรับรองมาตรฐาน GB2626-2006 จำนวน 15,000 ชิ้นให้แก่มูลนิธิเมาไม่ขับ โดยมี นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ เป็นผู้รับมอบ เพื่อนำไปแจกจ่ายเป็นสาธารณกุศลต่อไปยังประชาชนคนไทยที่ขาดแคลนทั่วไป เพื่อไว้ใช้ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 อันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบันต่อไป และที่สำคัญ บริษัทฯ จะยังคงดำเนินการในลักษณะการช่วยเหลือสังคมเช่นนี้ โดยเฉพาะสำหรับองค์กรที่มีเครือข่ายเชื่อมโยงกับประชาชนผู้ยากไร้ที่ยังขาดอุปกรณ์ในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ต่อไป
คุณภัคนภัสส์ จันทร์เพียร ประธานบริหาร บริษัท สวิตต์ไดมอนด์ จำกัด กล่าวว่า “เป็นที่ทราบกันดีว่าในช่วงต้นปี 2563 ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เผชิญกับภัยคุกคามจากการระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้หน้ากากอนามัยกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของคนไทย ความต้องการหน้ากากอนามัยในประเทศไทยก็มีแต่จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้น จนทำให้เกิดภาวะหน้ากากอนามัยขาดแคลน ส่งผลกระทบอย่างมากกลับกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นทัพหน้าในการต่อสู้กับเชื้อโรคร้ายนี้
ด้าน นายธีร์ธวัช เขื่อนเพชร ผู้อำนวยการฝ่ายการผลิต บริษัท สวิตต์ ไดมอนด์ จำกัด เปิดเผยถึงมาตรฐานหน้ากากอนามัยที่นิยมใช้กันอยู่ทั่วโลกในปัจจุบัน ประกอบด้วย 1. มาตรฐาน N95 จากอเมริกา 2. มาตรฐาน EN (FFP2) จากยุโรป 3. มาตรฐาน KN95 จากจีน 4. มาตรฐาน AS/NZS (P2) จากออสเตรเลียหรือนิวซีแลนด์ 5. มาตรฐาน KMOEL จากเกาหลี และ 6. มาตรฐาน JMHLW (DS2) จากญี่ปุ่น ดังนั้นจะเห็นได้ว่า KN95 เป็นมาตรฐานหน้ากากอนามัยในระดับเดียวกับ N95 ที่คนไทยคุ้นหูกันดี
อย่างไรก็ตาม สำหรับหน้ากากอนามัยแบรนด์ “TarMOnud” ชนิด KN95 มาตรฐาน GB ของบริษัท สวิตต์ ไดมอนด์ จำกัด จะผลิตด้วยกัน 2 ชนิด ประกอบด้วย
1.หน้ากากอนามัย KN95 ซึ่งเป็นหน้ากากอนามัยมาตรฐาน GB ของจีน ที่อยู่ในระดับเดียวกับ N95 ที่เป็น
มาตรฐานของอเมริกา ประกอบด้วยวัสดุป้องกันถึง 4 ชั้นด้วยกัน คือ
ชั้นที่ 1 Spunbond nonworen fabric เป็นที่นิยมนำไปใช้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ และสินค้าเกี่ยวกับสุขอนามัย มีคุณสมบัติ ยืดหยุ่นง่าย ไม่ดูดซึมน้ำ ไม่มีฝุ่นละออง ไม่มีสารพิษ ปลอดเชื้อแบคทีเรีย โดยมีการค้นคว้าว่าเชื้อโรคไม่สามารถเติบโตในผ้านี้ได้แล้ว ผ้าชนิดนี้ยังแข็งแรง ทนทาน ฉีกขาดยาก รับน้ำหนักดี ไม่ยับง่าย ย่อยสลายทางธรรมชาติได้เร็ว สะอาดปลอดภัย ไม่เป็นแหล่งสะสมเชื้อราและแบคทีเรีย
ชั้นที่ 2 Hot air cotton non woren fabric มีคุณสมบัติอ่อนนุ่ม ยืดหยุ่นดี มีการดูดซับความชื้นที่ดี และมีการถ่ายเทอากาศที่ดี ทนต่อกรดและด่างได้ดี ไม่มีพิษ ไม่มีผลข้างเคียงทางสารเคมี ติดไฟยาก เมื่อโดนความร้อนไม่หลอมละลายเป็นของเหลว
ชั้นที่ 3 Melt blown non woren fabric มีคุณสมบัติอ่อนหนุ่ม ยืดหยุ่น ทนต่อสารเคมี และยังกระจายของเหลวบนพื้นผิวได้ดี ของเหลวซึมผ่านได้ยาก เป็นชั้นตัวกรองที่ดี
ชั้นที่ 4 Spunbond non woren hydrophilic คุณสมบัติคล้ายผ้าชิ้นที่ 1 แต่ดูดซับของเหลวและความชื้นได้ แต่ต้องคงคุณสมบัติของผ้าชั้นที่1 และรูปแบบดั้งเดิมไว้
2. หน้ากากอนามัยเยื่อกระดาษ 3 ชั้น หน้ากากอนามัยเยื่อกระดาษ 3 ชั้น หรือ Surgical Face Mask ของ TarMOnud เป็นหน้ากากอนามัย 3 ชั้น ทางการแพทย์ ถูกผลิตจากเยื่อกระดาษและตัวกรองที่มีคุณภาพทำให้ คุณสมบัติ สามารถกรองอนุภาคหรือเชื้อโรคขนาด 3 ไมครอน ที่แพร่กระจายผ่านการไอหรือการจาม เช่นเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อไวรัสบางชนิดได้
ดังนั้น จึงมั่นใจได้ว่า “TarMOnud” คือหน้ากากอนามัยที่มีมาตรฐานในการป้องกันที่มีประสิทธิภาพทุกชิ้น
ขณะที่นายสุเฑพ ศิลปงาม ปรธานที่ปรึกษา บริษัท สวิตต์ ไดมอนด์ จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์การผลิตหน้ากากอนามัยของประเทศไทยในขณะนี้ว่า ไม่อยู่ในภาวะขาดแคลนแล้ว โดยทั้งจากการควบคุมของรัฐด้วยมาตรการเข้ม การเพิ่มกำลังการผลิตของโรงงานผลิตที่มีอยู่ต่างๆ กว่า 11 ราย และการตั้งโรงงานผลิตขึ้นใหม่เพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม ความต้องการหน้ากากอนามัยเชื่อว่า จะยังคงอยู่ในความต้องการอย่างต่อเนื่อง ทั้งในตลาดโลกและตลาดในประเทศไทย เพราะแม้สถานการณ์ COVID-19 จะคลี่คลายลงได้ในช่วงต่อไป แต่ปัญหามลพิษทางอากาศ กระแสรักษ์สุขภาพ และแนวโน้มจำนวนผู้ป่วยด้านระบบทางเดินหายใจที่มีมากขึ้น จะเป็นปัจจัยสนับสนุนความต้องการหน้ากากอนามัยของไทยและตลาดโลกในอนาคต ขณะที่ประเทศไทย มลพิษจากฝุ่นละออง PM 2.5 ยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งในกรุงเทพฯ และหมอกควันไฟป่าทั้งในประเทศและข้ามประเทศในภาคเหนือและภาคใต้ จึงเป็นปัจจัยส่งเสริมสำคัญที่จะทำให้ตลาดหน้ากากอนามัยมีโอกาสเติบโตได้อีก
“ผมเห็นว่า เมื่อสถานการณ์โลกมีแนวโน้มเป็นไปอย่างนี้ และภายในประเทศก็ไม่ขาดแคลนแล้ว รัฐควรยกเลิกห้ามการส่งออกได้แล้ว พร้อมหันมาสนับสนุนให้เอกชนไทยส่งออกหน้ากากอนามัยสู่ตลาดโลกมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นเวียดนาม ตอนนี้รัฐบาลเขาหันมาผลักดันให้ผู้ประกอบการเวียดนามเป็นผู้ส่งออกผ้าและหน้ากากอนามัยรายใหญ่ของโลก โดยนายกรัฐมนตรีเวียดนามได้อนุมัติให้ผู้ประกอบการสามารถส่งออกหน้ากากอนามัยได้โดยไม่จำกัดปริมาณ ส่งผลให้หลายบริษัทได้ลงทุนซื้อเครื่องจักรผลิตหน้ากากอนามัยและชุดป้องกันเชื้อโรคเพื่อส่งออก ซึ่งจะมีส่วนส่งเสริมให้เวียดนามกลายเป็นผู้ส่งออกหน้ากากอนามัยรายใหญ่ของโลก โดยมีคู่แข่งสำคัญคือ จีนและไต้หวัน ”
โดยเฉพาะทักษะแรงงานไทยมีความละเอียดอ่อนและดีกว่า ก็จะทำให้หน้ากากอนามัยของไทยมีคุณภาพ สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ รวมทั้งการส่งออกจะช่วยให้ผู้ผลิตไทยหันมาเอาใจใส่ต่อคุณภาพของหน้ากากอนามัยมากขึ้นด้วย ส่วนหากกลัวเมื่อเปิดการส่งออกแล้วจะทำให้เกิดการขาดแคลนในตลาดนั้น รัฐสามารถกำหนดเงื่อนไขต่างๆ ได้ เช่น การคงสต็อกสินค้า หรือเงื่อนไขเพดานการส่งออกที่มีสัดส่วนกับกำลังการผลิต